วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2550

72 ปี การศึกษา คือ อนาคต


“ ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด มีความสามารถที่จะช่วยเหลืออะไรใครได้ก็ทำอย่างเต็มที่”
อาจารย์ณัฐชวนันท์ จันทคนธ์
เชื่อแน่ว่าหลายท่านคงได้เคยอ่านหนังสือหรือเคยได้ชมละครทางโทรทัศน์เรื่อง “สี่แผ่นดิน” บทประพันธ์เรื่องเยี่ยมของ ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ ปราโมช กันมาแล้ว ซึ่ง “แม่พลอย” ตัวเอกในเรื่องนั้นใช้ชีวิตอยู่ในรัชกาลของพระเจ้าแผ่นดินไทยถึงสี่พระองค์ ในชีวิตจริงนั้นก็มีเรื่องราวชีวิตของบุคคลผู้น่าสนใจท่านหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนให้ความเคารพเป็นอย่างยิ่ง ท่านคลุกคลีกับงานทะเบียนและวัดผลมานานเกือบ 50 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวเดินทางมากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในรั้วแดงแห่งนี้ ตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตยังมีสถานะเป็นโรงเรียนการเรือนพระนคร ต่อมายกสถานะเป็นวิทยาลัยครู สถาบันราชภัฏ และปัจจุบัน คือมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตตามลำดับ ท่านอาจารย์ ญัฐชวนันท์ จันทคนธ์ ขณะนี้ท่านอายุ 72 ปี ปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญประจำ สำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
“แม่ไม่มีสมบัติไว้ให้ มีแต่การศึกษาเล่าเรียนเท่านั้นที่จะให้ไว้เป็นทุนเลี้ยงชีพ” เป็นคำพูดที่แสดงความตั้งใจแน่วแน่ของคุณแม่ของอาจารย์ ณัฐชวนันท์ ซึ่งท่านจำไว้ในใจอยู่เสมอ จึงทำให้ท่านได้เริ่มต้นการศึกษาโดยจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนเทศบาลวัดหลวงราชาวาส จากนั้นเข้าศึกษาต่อระดับชั้นมัธยมศึกษา ณ โรงเรียนสตรีอุทัยธานี ซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดอุทัยธานีจนสำเร็จการศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 6 ในปี พ.ศ. 2492 ด้วยผลการเรียนในระดับ “ดีมาก” จนเกิดเสียงร่ำลือกันว่าท่าน “เปิดหนังสือตอบ” ซึ่งท่านยืนยันว่าไม่เป็นความจริงเลย การที่ท่านศึกษาในระดับที่สูงกว่าเด็กผู้หญิงในสมัยนั้นที่จบแล้วก็ไปเป็นครูสอนเด็กแถวบ้านและมีครอบครัวเสียเป็นส่วนมาก รวมถึงยังขัดแย้งกับความคิดของคนรอบข้าง เช่น คุณป้าของท่านที่สบประมาทท่านไว้ก็ไม่สามารถหยุดการศึกษาของท่านลงเพียงเท่านี้ได้ ยกเว้นคุณแม่เท่านั้นที่มองเห็นการณ์ไกลให้การสนับสนุน ท่านจึงมุ่งมั่นที่จะศึกษาต่อโดยไปสมัครสอบชิงทุนของจังหวัดอุทัยธานีศึกษาต่อระดับ ปริญญาตรี ในสถานศึกษาจังหวัดใกล้เคียง โดยวันที่ไปสอบสัมภาษณ์นั้นท่านนั่งรอเรียกอยู่นาน จนได้รับแจ้งว่าได้อนุมัติการคัดเลือกทุนให้กับลูกของรองศึกษาธิการจังหวัดไปเรียบร้อยแล้ว
ท่านเสียใจและเจ็บใจมากกับการเล่นเส้นสายกันในวงราชการสมัยนั้น ใช้อำนาจมาตัดสิทธิ์ของท่านทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้สัมภาษณ์เลย แต่ผลจากการถูกกระทำดังกล่าวทำให้ท่านมุมานะยิ่งขึ้น ท่านจึงสมัครสอบชิงทุนเข้าศึกษาโรงเรียนเทพสตรีวิทยาลัย (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี) ในระดับ ครูมูล หรือ ครู ป. (ประโยคครู) ที่เรียกกันในสมัยนั้น มีระยะเวลาศึกษาประมาณ 1 ปี หลังสำเร็จการศึกษาสามารถเป็นครูสอนหนังสือได้ ซึ่งอาจารย์ ณัฐชวนันท์ มุ่งมั่นศึกษาเล่าเรียนจนจบการศึกษา
ช่วง พ.ศ. 2493-2495 นั้น ท่านพิจารณาแล้วว่า ในเมื่อคนจังหวัดเดียวกันไม่ให้โอกาส ท่านจึงเดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร โดยมาพักกับญาติที่หลัง วัดชนะสงคราม ทำหน้าที่ช่วยงานในบ้านเป็นการตอบแทน เพื่อมาสอบแข่งขันเข้าเรียนฝึกหัดครู ระดับ ป.ป. หรือ ประโยคครูประถม ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ ในปัจจุบัน (สมัยนั้นเรียกสั้น ๆ ว่า “เพชรยาว”) หลักสูตรนี้ต้องเรียน 3 ปี แต่ช่วงปีสุดท้ายของการศึกษาประเทศไทยเกิดการขาดแคลนครูเป็นอย่างมาก ทางกรมฝึกหัดครูจึงปรับหลักสูตรให้สามารถจบการศึกษาภายในระยะเวลา 2 ปีครึ่ง อาจารย์ท่านจึงจบการศึกษาในหลักสูตรเร่งรัดนี้ด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

การประชุมรับทราบนโยบาย ข้อบังคับและกระบวนการทำงานในปัจจุบัน

การประชุมรับทราบนโยบาย ระเบียบ ข้อบังคับและกระบวนการทำงานในปัจจุบัน
วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2550 เวลา 10.00-12.00 น.
ณ ห้อง 201 อาคาร ดร.ศิโรจน์ ผลพันธิน
...............................................................................................................
บันทึกความเข้าในการปฏิบัติงาน
1. การลงทะเบียนเรียนเป็นกรณีพิเศษ
คือ รายวิชาไม่ได้เปิดในภาคเรียนนั้นและนักศึกษาขอลงทะเบียนเป็นจำนวนน้อย เพื่อที่จะสำเร็จการศึกษาให้ดำเนินการดังนี้
1). บันทึกขออนุมัติต่อรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ ขอเปิดรายวิชา โดยระบุ รหัสวิชา ชื่อวิชา วันและเวลาเรียน และอาจารย์ผู้สอนที่ถูกต้อง พร้อมเหตุผลการขอเปิดรายวิชา
2). ระบุรหัสและชื่อนักศึกษาที่มีความประสงค์จะลงทะเบียนมาในบันทึก
3). กรณีมีเรื่องเงินค่าสอน โปรดระบุเรื่องเงินค่าสอนแจ้งมาในบันทึก เช่น ขอเบิกค่าสอน 60 % หรือไม่ขอเบิกเงินค่าสอน
2. การขอแก้ไขข้อมูลของรายวิชาในระบบบริหารการศึกษา
เช่น วันและเวลาเรียน ห้องเรียน ตอนเรียน คุณสมบัติผู้ลงทะเบียน ชื่อผู้สอน ให้บันทึกถึงผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน โดยระบุรายละเอียดให้ครบถ้วนถูกต้อง บอกจุดประสงค์ที่ชัดเจน เช่น ขอเปลี่ยนวันและเวลาสอนจากวันอังคาร เวลา 9.00-12.00 น. ไปเป็นวันพุธ เวลา 11.00-14.00 น. โดยห้องเรียนและผู้สอนคงเดิม (สามารถดำเนินการได้ถ้าข้อมูลไม่ซ้ำซ้อน)
หากแก้ข้อมูลเป็นจำนวนมากขอได้โปรดทำเป็นตารางเทียบการแก้ไขระหว่างข้อมูลเดิมกับข้อมูลใหม่ให้ชัดเจน เพื่อสะดวกต่อการดำเนินการ

3. การขอเพิ่มข้อมูลผู้สอนเข้าในระบบ บริหารการศึกษา
เมื่ออาจารย์ตรวจสอบแล้วรายวิชาและตอนเรียนที่อาจารย์ทำการสอนไม่ปรากฏในระบบบริหารการศึกษาของอาจารย์โปรดดำเนินการดังนี้
1. บันทึกข้อความจากศูนย์การศึกษาหรือหลักสูตรและคณะมายัง ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน โดยระบุ รหัสอาจารย์ ชื่อสกุลอาจารย์ รหัสวิชา ชื่อวิชาและตอนเรียน ที่ทำการสอนมาให้ครบถ้วนและถูกต้อง หรือ
2. เขียนลงแบบฟอร์มแล้วส่งที่สำนักงานผู้อำนวยการ สำนักส่งเสริมวิชาการละงานทะเบียน
โดย Download แบบฟอร์มได้ที่ http://regis.dusit.ac.th ข้อมูลบริการ หัวข้อ แบบฟอร์มต่าง ๆ แล้วไปใน Teacher From ที่ชื่อว่า แบบฟอร์มแจ้งรายวิชาเรียนที่ขาดในระบบบริหารการศึกษา

4. การจัดตารางเรียน-ตารางสอน
ดำเนินการตามประกาศของมหาวิทยาลัย เรื่อง กิจกรรมวิชาการของผู้ประสานงานวิชาการ โดยสามารถ Download ดูประกาศได้ที่ http://regis.dusit.ac.th/ เว็บไซท์ของสำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน ข้อมูลบริการ หัวข้อบรรทัดที่ 2 ชื่อ ปฏิทินวิชาการ แล้วเลือกภาคเรียนที่ต้องการ

5. การลงทะเบียนเรียนของนักศึกษา

1) การลงทะเบียนจองรายวิชาของภาคเรียนถัดไป จะดำเนินการก่อนสิ้นภาคเรียนปัจจุบันตามประกาศมหาวิทยาลัย เรื่อง กิจกรรมวิชาการของนักศึกษา โดยมีกำหนดระยะเวลาไว้แล้ว ดังนั้น ที่สำคัญคือ รายวิชาที่ผู้ประสานงานวิชาการทุกท่านเปิดไว้ในระบบบริหารการศึกษาให้นักศึกษาลงทะเบียนต้องเสร็จตามกำหนดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประกาศมหาวิทยาลัย เรื่อง กิจกรรมวิชาการของผู้ประสานงานวิชาการ (มีแนวปฏิบัติในคู่มือนักศึกษา ปี 2550)

2) การลงทะเบียนเรียน เพิ่ม- ถอนรายวิชา (มีแนวปฏิบัติในคู่มือนักศึกษา ปี 2550)
กรณี นักศึกษาลงทะเบียนเพิ่มรายวิชา ทำได้ภายใน 14 วัน นับจากวันเปิดภาคเรียนปกติและภายใน 7 วัน นับจากเปิดภาคเรียนฤดูร้อน ซึ่งวันที่เปิดระบบบริหารการศึกษาให้ดำเนินการจะเป็นไปตามประกาศมหาวิทยาลัย ฯ
นักศึกษาสามารถดำเนินการในระบบบริหารการศึกษาได้เองตามวันที่กำหนด ไม่ว่านักศึกษาจะลงทะเบียนยังไม่ครบหน่วยกิตที่กำหนดหรือไม่เคยลงทะเบียนเลยก็สามารถทำได้ แต่นักศึกษาต้องไม่มีหนี้ค้างชำระของภาคเรียนที่ผ่านมาแล้วและสถานภาพนักศึกษาเป็นปกติ

กรณี ถอนรายวิชา (ไม่ได้รับผลการเรียนเป็น W ) จะทำได้ภายใน 14 วัน นับจากวันเปิดภาคเรียนปกติและภายใน 7 วัน นับจากเปิดภาคเรียนฤดูร้อน เป็นไปตามประกาศมหาวิทยาลัย ฯ ซึ่งนักศึกษาต้องยื่นคำร้องที่สำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียนสำหรับนักศึกษาในมหาวิทยาลัย และสำหรับนักศึกษาสังกัดศูนย์การศึกษายื่นคำร้องได้ที่สำนักงานศูนย์การศึกษา นักศึกษาที่ดำเนินการในกำหนดจะไม่ต้องชำระค่าธรรมเนียมการลงทะเบียนเรียนล่าช้า เป็นจำนวนเงิน 500 บาท
หมายเหตุ
ขอเน้นย้ำว่า หากพ้นกำหนดแล้วนักศึกษาต้องยื่นเรื่องขอยกเลิกรายวิชาเพื่อรับผลการเรียน “W” ซึ่งทำได้ตั้งแต่พ้นกำหนดการเพิ่ม-ถอนรายวิชาของแต่ละภาคเรียน และไม่เกิน 2 สัปดาห์ก่อนกำหนดการสอบปลายภาค


3) การลงทะเบียนเรียนข้ามภาค (มีแนวปฏิบัติในคู่มือนักศึกษา ปี 2550)
นักศึกษาขออนุญาตลงทะเบียนเรียนข้ามภาคกับนักศึกษาภาคปกติ ภาคสมทบ และภาคปกติ (นอกเวลา) จะทำได้ภายใน 14 วัน นับจากวันเปิดภาคเรียนปกติและภายใน 7 วัน นับจากเปิดภาคเรียนฤดูร้อน โดยพิจารณาเฉพาะนักศึกษาที่มีความจำเป็นที่ลงทะเบียนยังไม่ครบตามที่กำหนดและเป็นรายวิชาที่ไม่เปิดสอนในภาคปกติ ภาคสมทบและภาคปกติ (นอกเวลา) ของนักศึกษา (โปรดระวังนักศึกษาขออนุญาตลงรายวิชาที่มีข้อกำหนดว่าต้องผ่านรายวิชาใดมาก่อนหรือขอลงทะเบียนข้ามภาคควบกันระหว่างรายวิชาที่มีข้อกำหนดให้เรียนมาก่อนจึงจะลงได้ รวมถึงนักศึกษาไม่มีหนี้ค้างชำระของภาคเรียนที่ผ่านมาแล้ว)

4) การลงทะเบียนเรียน(จำนวนหน่วยกิตเกินจากเกณฑ์ที่กำหนด)
นักศึกษายื่นคำร้องลงทะเบียนเรียน(จำนวนหน่วยกิตเกินจากเกณฑ์ที่กำหนด) ในกรณีที่เป็นภาคเรียนสุดท้ายกำลังจะสำเร็จการศึกษา และลงทะเบียนครบตามจำนวนหน่วยกิตที่กำหนดได้ที่ศูนย์การศึกษาและสำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียนโดยนักศึกษาต้องแนบเอกสารมากับคำร้องดังนี้
4.1 ใบรายงานผลการลงทะเบียน (มสด 13.2) ของภาคเรียนนั้น
4.2 ใบรายงานผลการศึกษา (มสด.29) ทุกภาคเรียน
4.3 ถ้าเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี ต่อเนื่อง ต้องแนบวุฒิ ปวส.มาด้วย
ทั้งนี้ นักศึกษาต้องใส่ข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้อง และไม่มีหนี้ค้างชำระในภาคเรียนที่ผ่านมาแล้ว

5) การขอลงทะเบียนเรียนล่าช้า (พ้นกำหนดการเพิ่ม-ถอนรายวิชา) (มีแนวปฏิบัติในคู่มือนักศึกษา ปี2550) นักศึกษาที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนเรียนหรือยังลงทะเบียนไม่ครบตามหน่วยกิตที่กำหนด สามารถยื่นคำร้องขอลงทะเบียนเรียนล่าช้าได้ที่สำนักงานศูนย์การศึกษาและสำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน โดยต้องชำระค่าธรรมเนียม กรณีนักศึกษาระดับปริญญาตรีลงทะเบียนเรียนล่าช้ากว่ากำหนด จำนวน 500 บาท ซึ่งนักศึกษาสามารถยื่นขอลงทะเบียนเรียนข้ามภาคล่าช้าได้ด้วยแต่ต้องชำระเงินค่าธรรมเนียมเหมือนกัน
ทั้งนี้ ประกาศมหาวิทยาลัย ฯ ดังกล่าวไม่ใช้กับการขอถอนรายวิชาที่พ้นกำหนดไปแล้ว ดังนั้นอย่าให้นักศึกษาชำระเงินค่าถอนรายวิชา นักศึกษาต้องชำระค่าธรรมเนียมการศึกษา)

6) การขอลงทะเบียนเรียนย้อนหลัง (ปรากฏผลการเรียน)
นักศึกษายื่นคำร้องขอลงทะเบียนเรียนรายวิชาที่ไม่ได้ลงทะเบียนในภาคเรียนที่ผ่านไปแล้ว โดยอาจารย์ผู้สอนส่งผลการเรียนเข้ามาไว้ที่สำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน เมื่อตรวจสอบพบผลการเรียนก็จะดำเนินการลงทะเบียนเรียนให้นักศึกษา แต่นักศึกษาต้องไม่มีหนี้ค้างชำระในภาคเรียนใด ๆ เลย (ภาคเรียนปัจจุบันด้วย) ซึ่งตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1/2550 เป็นต้นไปนักศึกษาจะต้องชำระค่าธรรมเนียมลงทะเบียนเรียนล่าช้ากว่ากำหนด จำนวน 500 บาทก่อน จึงจะลงทะเบียนให้ และแจ้งนักศึกษาชำระเงินค่าหน่วยกิตและค่าปรับของการชำระเงินล่าช้าด้วย
5. การตัดตอนเรียน
ก่อนเปิดภาคเรียนนั้น ๆ เจ้าหน้าที่วิชาการของศูนย์การศึกษาต้องเข้าไปตัดตอนเรียนในระบบบริหารการศึกษาที่ เมนูตัดตอนเรียน เพื่อเป็นการให้สิทธิ์เรียนแก่นักศึกษา และนักศึกษาที่เกินจำนวนที่กำหนดไว้ของตอนเรียนนั้นจะได้ทราบว่าตนเองไม่ได้สิทธิ์เรียน เพื่อลงทะเบียนใหม่ ภายใน 14 วัน นับจากวันเปิดภาคเรียนปกติและภายใน 7 วัน นับจากเปิดภาคเรียนฤดูร้อน

6. การสอบเทียบความรู้
นักศึกษายื่นคำร้องหรือศูนย์การศึกษาบันทึกเสนอรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ เพื่อพิจารณามีเอกสารประกอบดังนี้ 1. ใบรายงานผลการศึกษา (มสด.29) ทุกภาคเรียน
2. สำเนาวุฒิการศึกษาปวส. หรือถ้ามีรายวิชาที่ยกเว้นหรือเทียบโอนแนบมาด้วย
โดยการสอบเทียบจะเป็นการสอบเทียบ 100 %

7. การสอบปลายภาคเรียน (มีแนวปฏิบัติในคู่มือนักศึกษา ปี 2550)
1. การรับข้อสอบปลายภาคไปเก็บรักษาไว้ที่ศูนย์การศึกษานั้น ศูนย์ในกรุงเทพ ฯและปริมณฑลจะมารับและส่งคืนวันต่อวัน ส่วนศูนย์ต่างจังหวัดจะมารับก่อนวันสอบไม่เกิน 2 วัน และส่งคืนไม่เกิน 3 วันนับจากวันสุดท้ายที่ศูนย์ ฯ มีการสอบ ซึ่งผู้รับ-ส่งข้อสอบจะมีคำสั่งแต่งตั้ง ทั้งนี้ ต้องส่งสรุปรายงานการดำเนินการจัดสอบปลายภาคเมื่อเสร็จสิ้นการสอบตามวันที่คำสั่ง ฯ กำหนด
2. การทุจริตการสอบจะมีแนวปฏิบัติให้ในคู่มือนักศึกษาและระเบียบมหาวิทยาลัย ฯ ว่าด้วยการปฏิบัติของผู้เข้าสอบและกรรมการกำกับการสอบ สามารถ Download ดูระเบียบได้ที่ http://regis.dusit.ac.th/ เว็บไซท์ของสำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน ข้อมูลบริการ หัวข้อบรรทัดที่ 1 ชื่อ ประกาศมหาวิทยาลัย ฯ แล้วเลือกที่ระเบียบดังกล่าว
เมื่อเกิดการสงสัยว่าทุจริตในการสอบต้องให้นักศึกษาลงลายมือชื่อรับทราบ หากนักศึกษาไม่ยอมลงลายมือชื่อเพื่อรับทราบให้กรรมการกำกับการสอบรายงานบันทึกพฤติกรรมเพิ่มเติมเพื่อเสนอต่อรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ

8. การขออนุญาตสอบเวลาพิเศษและตารางสอบซ้อน (มีแนวปฏิบัติในคู่มือนักศึกษา ปี 2550)
การสอบลักษณะนี้เป็นการพิจารณาอนุญาตให้สอบเฉพาะนักศึกษาผู้ที่มีความจำเป็นเท่านั้น และมีเหตุผลเพียงพอ โดยยื่นคำร้องมาเสนอขออนุญาตหรือศูนย์การศึกษาบันทึกข้อความขออนุญาต โดยกำหนดการสอบจะเป็นการพิจารณาเป็นราย ๆ ไป หากไม่ยื่นคำร้องขออนุญาตและขาดสอบต้องมายื่นคำร้องขอสอบเนื่องจากขาดสอบปลายภาค


9. การจัดสอบกรณีขาดสอบปลายภาค (มีแนวปฏิบัติในคู่มือนักศึกษา ปี 2550)
นักศึกษาต้องยื่นคำร้องในวันที่ตามประกาศของมหาวิทยาลัย ฯ และมาเข้าสอบตามวันและเวลาที่ประกาศ นักศึกษายื่นคำร้องขอสอบที่ศูนย์ใดต้องไปสอบขาดสอบที่ศูนย์นั้น หากไม่เข้าสอบถือว่าสละสิทธิ์ มหาวิทยาลัย ฯ จะไม่จัดสอบให้กับนักศึกษา และผลการเรียนในส่วนที่ขาดสอบเป็น “ศูนย์” แล้วจะดำเนินการปรับผลการเรียนตามคะแนนเก็บที่มี
ทั้งนี้ นักศึกษาต้องไม่มีหนี้ค้างชำระในภาคเรียนใด ๆ เลย (รวมภาคเรียนปัจจุบัน) จึงจะดำเนินการได้